12 พฤศจิกายน, 2563
Shareเฉพาะกิจการ | รวมกิจการ | |||
---|---|---|---|---|
ไตรมาส 2 ปีงบฯ 2021 | ไตรมาส 1 ปีงบฯ 2021 | ไตรมาส 2 ปีงบฯ 2021 | ไตรมาส 1 ปีงบฯ 2021 | |
3,438 | 1,940 |
รายได้ |
18,400 | 13,611 |
680 | (46) |
EBITDA |
3,660 | 2,613 |
360 | (269) |
กำไรหลังภาษี (PAT) |
1,518* | 783* |
* PAT จากการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง (ก่อนรายการพิเศษที่มีข้อยกเว้นและก่อนดอกเบี้ยส่วนน้อย) |
รายได้แบบรวมกิจการสำหรับไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2021 อยู่ที่ 184,000 ล้านรูปี ตามเกณฑ์รายปีที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสูงขึ้น 35 % ตามลำดับ EBITDA แบบรวมกิจการสำหรับไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2021 เพิ่มเป็น 36,600 ล้านรูปี ซึ่งสูงขึ้น 40 % จากไตรมาสก่อนและ 15 % จากปีก่อนตามลำดับ PAT แบบรวมกิจการจากการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง (ก่อนรายการพิเศษที่มีข้อยกเว้นและก่อนดอกเบี้ยส่วนน้อย) สำหรับไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2021 อยู่ที่ 15,180 ล้านรูปี ซึ่งบันทึกการปรับตัวที่สูงขึ้นถึง 94 % ตามความต่อเนื่อง
ผลประกอบการสำหรับกิจการเดียวมีการปรับปรุงดีขึ้นอย่างเด่นชัด โดยมีรายได้และ EBITDA ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 34,380 ล้านรูปีและ 6,800 ล้านรูปีในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2021 จาก 19,400 และ (460 ล้านรูปี) ในไตรมาสที่ 1 ปีงบฯ 2021 PAT เพิ่มขึ้นเป็น 3,600 ล้านรูปี
เศรษฐกิจอยู่ระหว่างการฟื้นตัวหลังมีการผ่อนคลายจากการล็อคดาวน์หลัง COVID-19 โดยเป็นเดือนกันยายนที่มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วสำหรับ Grasim อันเนื่องมาจากมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของความต้องการ และรัฐบาลยังคงทำงานอย่างไม่ย่อหย่อนเพื่อส่งเสริมธุรกิจด้านการปลูกบ้าน โดยมีการสูบฉีดงบประมาณและการกระตุ้นทางการเงินอยู่เป็นระยะ
ตลาดสิ่งทอในอินเดียและต่างประเทศประสบกับการย้อนกลับมาของความเข้มงวดที่เกี่ยวเนื่องกับ COVID-19 ที่ค่อย ๆ ลดลงไปโดยทางภาครัฐ มาตรการปลดล็อคทั่วประเทศนำมาซึ่งการเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงในการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มทะยานขึ้นต่อไปจากการเริ่มต้นของช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง การส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอของอินเดียตามมูลค่าฟื้นตัวดีขึ้นจนเกือบแตะระดับเดียวกับก่อนช่วง COVID-19 เช่นกัน หลังจากที่ดิ่งลงอย่างหนักในไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2021
ธุรกิจเส้นใยสังเคราะห์กลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ปีงบฯ 2021โดยอัตราส่วนของการดำเนินงานมีการเพิ่มขึ้นแบบเดือนต่อเดือน การใช้ประโยชน์จากความสามารถในการผลิตของธุรกิจ VSF แตะระดับที่ประมาณ 88 % ในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2021 จากเพียงประมาณ 26 % ในไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2021 และมีการบันทึกการใช้ประโยชน์จากความสามารถในการผลิตที่เกือบเต็ม 100 % หลังไตรมาส 2 ธุรกิจ VSF ยังบันทึกการปรับปรุงที่ดีขึ้นอย่างเด่นชัดในประสิทธิภาพของการทำงานในไตรมาสที่ 2 ปีงบฯ 2021
อุตสาหกรรม VSF ของจีนกำลังส่งสัญญาณการปรับตัวที่ดีขึ้น โดยมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราการดำเนินงาน ซึ่งนำโดยการฟื้นกลับมาของความต้องการในท้องถิ่น ระดับสินค้าคงคลังที่ลดลง และการปรับปรุงที่ดีขึ้นของความสามารถในการทำกำไร ซึ่งทั้งหมดเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของความต้องการ ช่องว่างระหว่างราคาของฝ้ายและเส้นใยสังเคราะห์ยังกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลดีต่อเส้นใยยังเคราะห์ที่จะทำให้ความต้องการในเส้นใยสังเคราะห์สามารถเติบโตได้ต่อไป
รายได้สุทธิสำหรับภาคธุรกิจเส้นใย (รวมถึง VFY) อยู่ที่ 16,790 ล้านรูปี หลังจากการฟื้นตัวที่พุ่งสูงขึ้นของปริมาณการขายทั้งในส่วนของ VSF และ VFY EBITDA จากธุรกิจเส้นใยสำหรับไตรมาสกระดอนกลับมาที่ 1,930 ล้านรูปี ซึ่งนำโดยปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายทางต้นทุนที่ต่ำลง และการลดลงของต้นทุนคงที่
ในส่วนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่แตกออกมาจากคลอรีนยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งขับเคลื่อนโดยยอดขายที่สูงขึ้นในส่วนผลิตภัณฑ์เพื่อการอนามัยและสารฆ่าเชื้อ, สารตัวกลางออร์แกนิก, เคมีเกษตร และส่วนธุรกิจ CP
การผลิตโซดาไฟมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของปริมาณในระหว่างไตรมาส การใช้ประโยชน์จากความสามารถในการผลิตปรับปรุงดีขึ้นเป็น 80 % ในไตรมาสที่ 2 ปีงบฯ 2021 จาก 49 % ในไตรมาสที่ 1 ปีงบฯ 2021 ส่วนธุรกิจสำหรับการใช้งานปลายทางก็พบกับการฟื้นตัวของความต้องการด้วยเช่นกัน
ปริมาณที่ล้นเกินของโซดาไฟส่งผลให้ราคาอ่อนลงมาในระดับที่ต่ำกว่า 250 ดอลล่าสหรัฐฯ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) รายได้สุทธิสำหรับไตรมาสที่ 2 ปีงบฯ 2021 อยู่ที่ 11,260 ล้านรูปี ส่วน EBITDA อยู่ที่ 1,870 ล้านรูปี EBITDA สำหรับผลิตภัณฑ์ที่แตกออกมาจากคลอรีนมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักอย่างต่อเนื่อง
Grasim Industries Limited ได้รับการจัดว่าเป็นหนึ่งในบริษัทอันดับท็อป 10 สำหรับความยั่งยืนและด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมประจำปี 2020 โดย ET และอันดับที่ 7 ในการจัดอันดับธุรกิจที่มีความรับผิดชอบของ Futurescape
Grasim ยังได้รับการจัดอยู่ในอันดับท็อป 10 ในด้าน CSR และความยั่งยืนสำหรับบริษัทในอินเดียโดยวารสาร CSR แห่งอินเดีย
ธุรกิจ VSF ได้รับการจัดอันดับที่ 1 จากทั่วโลกในรายงาน Hot Button ประจำปี 2020 ของ Canopy ที่มีการจัดอันดับผู้ผลิตวิสคอสทั่วโลกในด้านวิธีปฏิบัติสำหรับป่าที่ยั่งยืน/การจัดหาไม้ โซลูชันยุคใหม่ในด้านการปศุสัตว์ทางเลือกและการสามารถตามรอยห่วงโซ่อุปทาน
ด้วยมีการปรับปรุงที่ดีขึ้นในทางธุรกิจและผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส บริษัทจึงได้รับการอนุมัติรายจ่ายฝ่ายทุน Capex เพิ่มเติมที่ประมาณ 2,370 ล้านรูปีสำหรับส่วนธุรกิจเคมีภัณฑ์และ VFY ด้วย Capex ที่เพิ่มเข้ามานี้ คณะกรรมการได้ให้การอนุมัติการใช้จ่ายจำนวน 18,520 ล้านรูปีสำหรับปีงบประมาณ 2021 โดย Capex นี้รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการผลิตในส่วน VSF และเคมีภัณฑ์ในปีงบประมาณ 2022 นอกเหนือจากรายจ่าย Capex เพื่อสร้างความทันสมัยให้กับโรงงานต่าง ๆ ทั้งหลายที่ดำเนินการอยู่
รายได้แบบรวมกิจการของ UltraTech อยู่ที่ 103,540 ล้านรูปี EBITDA อยู่ที่ 28,300 ล้านรูปี ส่วน PAT อยู่ที่ 12,340 ล้านรูปีสำหรับไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2021 ปริมาณในการขายแบบรวมกิจการอยู่ที่ประมาณ 20.06 MTPA โดยมีการใช้ความสามารถในการผลิตที่กว่า 60% ทั่วทั้งเครือข่ายโรงงาน 54 แห่งทั่วประเทศ
ผลประกอบการรายไตรมาสอันแข็งแกร่งของบริษัทได้รับแรงหนุนจากประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และความสามารถในการให้บริการแก่ทุกตลาดในอินเดีย UltraTech รายงานกำไรขั้นต้นของการดำเนินงานที่แข็งแกร่งที่ 27 % ซึ่งขับเคลื่อนโดยทั้งจากการเติบโตของรายได้และการจัดการต้นทุนที่เข้มงวด
หนี้สินสุทธิยังคงลดลงโดยอยูที่ 121,320 ล้านรูปี ซึ่งลดลงไป 25,190 ล้านรูปี สืบเนื่องจากการจัดการเงินทุนที่มีประสิทธิภาพและปัจจัยอื่น ๆ หนี้สินสุทธิ/ EBITDA สำหรับแบบีวมกิจการอยู่ที่ 1.22x (ก.ย. 20)
ความสามารถในการผลิตที่เพิ่มขึ้น 3.4 MTPA ในรัฐโอดิชา, รัฐพิหาร และเบงกอลตะวันตกเป็นไปตามทิศทาง และคาดว่าจะสามารถเริ่มการผลิตได้ในระหว่างปีงบประมาณ 2022 โดยเริ่มเป็นเฟส
โรงงานซีเมนต์ 14.6 MTPA ที่เข้าซื้อกิจการมาในระหว่างปีงบประมาณที่แล้วได้รับการผสานกำลังแล้ว โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการลงทุนเพื่อให้เกิดการปรับปรุงการดำเนินงานต่อไป
UltraTech คาดหมายว่าความต้องการในซีเมนต์จะเติบโตขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากภาครัฐที่ให้การส่งเสริมในด้านสาธารณูปโภคและการขยายเศรษฐกิจในชนบท มาตรการเชิงนโยบายเมื่อไม่นานมานี้ที่มีการประกาศโดยธนาคารทุนสำรองแห่งอินเดียในการสนับสนุนภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์จะยังมีส่วนเสริมให้เกิดความต้องการที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ด้วยมีฐานกระจายอยู่ในทั่วทุกอาณาเขตของประเทศอินเดีย UltraTech จึงอยู่ในสถานะที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของความต้องการในทุกตลาด
รายได้แบบรวมกิจการของ ABCL เติบโตขึ้นที่ราว 16 % จากปีก่อนเป็น 45,890 ล้านรูปี ด้วยผ่านทางบริษัทในเครือ บริษัทยังคงแสดงผลกำไรที่มั่นคงต่อไปด้วยมีความหลากหลายในโมเดลทางธุรกิจ กำไรหลังภาษีแบบรวมกิจการ (หลังดอกเบี้ยส่วนน้อย) เติบโตขึ้นที่ 33 % จากไตรมาสก่อน (และ 3 % เมื่อเทียบกับปีก่อน) เป็น 2,640 ล้านรูปี ซึ่งเป็นการมุ่งไปสู่สภาวะปกติและการเติบโต โดยยังคงมีความยืดหยุ่นอยู่อย่างต่อเนื่องในทั่วทุกภาคส่วนธุรกิจ
NBFC และบัญชีเงินกู้สินเชื่อเพื่อการเคหะอยู่ที่ 575,920 ล้านรูปี ในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2021 การเบิกจ่ายขั้นต้นสำหรับ NBFC อยู่ที่ 25,980 ล้านรูปี (2x ไตรมาสที่ 1 ปีงบฯ 2021) และในเดือนกันยายน 2020 ได้กลับมาสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติ COVID ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (รวมรายได้จากค่าธรรมเนียม) สำหรับธุรกิจ NBFC สูงขึ้น 50 bps เมื่อเทียบรายไตรมาสเป็น 5.32 % ในไตรมาสที่ 2 ปีงบฯ 2021
AAUM ภายในประเทศโดยรวมสูงขึ้นที่ 11 % เมื่อเทียบแบบรายไตรมาสเป็น 2,386,740 ล้านรูปี ส่วน AUM กองทุนเติบโตขึ้นที่ 13% เป็น 821,790 ล้านรูปีในเดือนกันยายน 2020 ตามลำดับ PBT/ AAUM เพิ่มขึ้นจาก 24 bps (ไตรมาส 1 ปีงบฯ 2021) เป็น 27 bps ในไตรมาส 2 ปีงบฯ 2021
สำหรับธุรกิจประกันชีวิต เบี้ยประกันรับปีแรก (FYP) เพิ่มขึ้นที่ 7% สำในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบฯ 2021 เป็น 7,440 ล้านรูปี ซึ่งเหนือกว่าภาคอุตสาหกรรม มีการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Opex) ต่อสัดส่วนเบี้ยประกันเป็น 14.5 % ในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2021 จาก 20 % ในรอบครึ่งปีแรกของปีงบฯ 2020
ในส่วนของธุรกิจประกันสุขภาพ เบี้ยประกันภัยรับรวมเพิ่มขึ้นเป็น 5,500 ล้านรูปี (ครึ่งปีแรกปีงบฯ 2021) ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 75% จากปีก่อน
แถลงการณ์ใน “ข่าวประชาสัมพันธ์” ฉบับนี้ อธิบายถึงวัตถุประสงค์ การคาดการณ์ การประมาณการ ความคาดหมายหรือคาดคะเนของบริษัท โดยอาจจัดว่าเป็น “แถลงการณ์คาดการณ์” ที่อยู่ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับว่าด้วยหลักทรัพย์ ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างไปจากที่นำเสนอหรือที่กล่าวโดยนัย ปัจจัยสำคัญที่อาจสร้างความแตกต่างให้กับผลการดำเนินงานของบริษัท ได้แก่ สภาพอุปสงค์และอุปทานในอินเดียและตลาดโลก ราคาสินค้าสำเร็จรูป ความคล่องตัวของการจัดเก็บสินค้าและราคา วงจรความต้องการของตลาดและราคาตามตลาดหลักของบริษัท การเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับของภาครัฐ การจัดเก็บภาษี การพัฒนาด้านเศรษฐกิจในอินเดียและในประเทศต่าง ๆ ที่บริษัทเข้าไปดำเนินธุรกิจ และปัจจัยอื่น ๆ อาทิ การดำเนินคดีความและข้อตกลงด้านแรงงาน บริษัทไม่รับผิดชอบต่อการแก้ไขหรือปรับปรุงแถลงการณ์คาดการณ์ล่วงหน้า อันเกิดจากการพัฒนา ข้อมูลหรือเหตุการณ์ หรือสาเหตุอื่นที่เกิดขึ้นในภายหลังแต่อย่างใด