ด้วยคาดการณ์ล่วงหน้าได้ถึงการขาดแคลนฝ้าย ในปี 1947 คุณ G D Birla จึงตัดสินใจก่อตั้งศูนย์การผลิตเส้นใยที่ผลิตจากฝีมือมนุษย์เพื่อช่วยเสริมให้เส้นใยสิ่งทอมีพร้อมสำหรับการจัดทำเครื่องแต่งกาย เขาตัดสินใจจัดตั้งหน่วยการผลิตสิ่งทอที่ใช้เส้นใยเรยอนที่ Gwalior และก่อตั้งเป็นบริษัท Gwalior Rayons and Silk Manufacturing หรือเรียกย่อ ๆ ว่า GRASIM เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1947 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของ Grasim
Grasim ก่อตั้งเป็นบริษัทใน Gwalior
ช่วงทศวรรษ 50 เป็นเวลาที่บริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคง โดยในปี 1950 หน่วยงานด้านการถักทอเริ่มทดสอบการผลิตสิ่งทอเป็นครั้งแรกอย่างเป็นผลสำเร็จ
ในปี 1951 มหาราชาแห่งกวาลิเออร์ (Maharaja of Gwalior) ท่าน Jivajeerao Scindia เสนอที่ดินใน Nagda เพื่อให้ก่อตั้งโรงงาน VSF ทรัพยากรน้ำที่มีอย่างล้นหลามและความใกล้ชิดกับตลาดสิ่งทอในบอมเบย์ (Bombay) และอาเมดาบัด (Ahmedabad) ทำให้ Nagda เป็นทางเลือกที่เหมาะในการจัดตั้งหน่วยงานการผลิต
ในปี 1954 Grasim ได้ก่อตั้งโรงงานผลิตแห่งที่สอง (15 TPD) ที่ Nagda และเริ่มทำการผลิตเส้นใยวิสคอส (VSF) ในปีต่อมา VSF ได้กลายเป็นสิ่งที่พลิกเกมสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอของอินเดีย
การผลิต VSF เริ่มต้นขึ้นที่ Nagda
โรงงานเส้นใยแห่งแรกที่มีกำลังการผลิต 1 TPD ก่อตั้งขึ้นใน Nagda
ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 มีการก่อตั้งแผนกเยื่อไม้และวิศวกรรมที่ Nagda เพื่อเร่งคววามสามารถในการแข่งขันในเชิงการค้า โดยในเวลาเดียวกัน มีการก่อตั้งสถาบันวิจัย Birla สำหรับวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Birla Research Institute for Applied Sciences) ที่ Nagda เพื่อช่วยพัฒนาความสามารถในการวิจัยของ Grasim
เพียงไม่กี่ปีหลังการก่อตั้ง สถาบันมีการจดทะเบียนสิทธิบัตรใบแรกของโลกในการพัฒนาเยื่อไม้ (วัตถุดิบในการผลิต VSF) จากไม้เนื้อแข็งแบบผสม ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้เป็นรากฐานสำหรับเทคโนโลยีที่ได้รับการนำไปใช้ที่โรงงานแห่งใหม่ของ Grasim ที่ต่อมาภายหลังได้รับการก่อตั้งขึ้นใน Harihar และ Mavoor (ไม่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ณ ขณะนี้)
ซึ่งบังเอิญว่า สิทธิบัตรฉบับนี้ยังเป็นสิทธิบัตรฉบับแรกของกลุ่มบริษัท Aditya Birla Group อีกด้วย
มีการเปิดตัวสถาบันวิจัย Birla สำหรับวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Birla Research Institute for Applied Sciences)
เริ่มการผลิต VSF ที่ Mavoor
เริ่มทดสอบการผลิตเส้นด้ายปั่นย้อมที่ Nagda
ในปี 1972 Grasim ก่อตั้งโรงงานไม้เนื้อแข็งแบบผสมแห่งแรกของโลกที่ Harihar โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ได้รับการจดสิทธิบัตรที่พัฒนาขึ้นที่สถาบันวิจัย Birla สำหรับวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Birla Research Institute for Applied Sciences) ในปีเดียวกัน Grasim ได้ทำให้กระบวนการผลิตมีความเหมาะสมสูงสุดด้วยการสร้างโรงงานเพื่อผลิตคอสติกโซดา 33,000 TPA เพื่อใช้งานเป็นการภายใน
สองปีถัดมา Grasim ก่อตั้งบริษัท Thai Rayon ซึ่งทำให้กลายเป็นบริษัทอินเดียแห่งแรกที่มีการก่อตั้งหน่วยงานการผลิตบนผืนแผ่นดินที่อยู่ในต่างประเทศ และจากนั้นไม่นาน Grasim ได้เริ่มขยายธุรกิจนอกอาณาเขตอินเดียผ่านทางการร่วมทุนและการเข้าซื้อกิจการต่าง ๆ เพื่อให้อินเดียกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
การผลิตเยื่อไม้เริ่มต้นขึ้นที่ Harihar
มีการก่อตั้งบริษัท Thai Rayon
เริ่มการผลิต VSF ที่บริษัท Thai Rayon
เริ่มทดสอบการผลิตไฟเบอร์ประสิทธิภาพสูงหรือ High-Performance fibre (HPF) ที่ Harihar
เข้าร่วมทุนกับฟิลิปปินส์ (Indo Phil Textiles)
ในช่วงทศวรรษ 80 Grasim ทำการชยายธุรกิจนอกเขตประเทศอินเดียต่อไป กลับสู่บ้านเกิด และเริ่มทำธุรกิจที่หลากหลาย ในปี 1985 ปักหลักลงสู่ตลาดซีเมนต์ด้วยโรงงานซีเมนต์แห่งแรก Vikram Cement โดยก่อตั้งขึ้นในรัฐมัธยประเทศ ด้วยกำลังการผลิตของโรงงานที่ 0.5 MTPA
ก่อตั้งบริษัท Indo Bharat Rayon
จัดตั้งสถาบันวิจัยป่าไม้ Grasim (Grasim Forest Research Institute)
ก่อตั้ง Vikram Cement ที่ Jawad
เริ่มการผลิตไฟเบอร์แบบพิเศษ เช่น แบบความเหนียวสูง, ไฟเบอร์แบบลอนและแบบเรียบ
ช่วงทศวรรษ 90 นำมาซึ่งการปฏิรูปอย่างรวดเร็วในองค์กร โดยได้รับแรงหนุนจากความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อทำการพัฒนาเส้นเอ็นและเส้นใย โดย Grasim เริ่มทำการปรับปรุงความสามารถในการผลิตภายในองค์กรสำหรับเทคโนโลยีไลโอเซลล์ ซึ่งในท้ายที่สุดก็ก่อให้เกิดเป็นโรงงานบุกเบิกไลโอเซลล์ที่มีกำลังการผลิต 0.5 TPD ในปี 1993 โดยโรงงานก่อตั้งขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายเพียง 20% ของการจัดตั้งโรงงานที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันในยุโรป ในปี 1998 Grasim ทำการขยายธุรกิจในต่างประเทศด้วยการเข้าซื้อกิจการ AV Cell Pulp Mill ในแคนาดา
อีกยังเป็นเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในองค์กรด้วย โดยมีการจัดตั้งฝ่าย HR เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติของบุคลากรภายในองค์กร ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อของ Grasim ที่ว่า บุคลากรนั้นเป็นทรัพย์สินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เริ่มต้นการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีไลโอเซลล์เป็นการภายใน
มีการก่อตั้ง Vikram Woollens ที่ Malanpur ในรัฐมัธยประเทศ
มีการเริ่มต้นทดสอบการดำเนินงานโรงงาน VSF ที่ Kharach ในรัฐคุชราต
เข้าซื้อกิจการ AV Cell Pulp Mill แคนาดา
มีการทดสอบการดำเนินงานโรงงานนำร่องสำหรับไลโอเซลล์กำลังการผลิต 0.5 TPD ที่ Nagda
การเปลี่ยนผ่านสู่สหัสวรรษนำมาซึ่งการเริ่มต้นใหม่สำหรับธุรกิจซีเมนต์ของ Grasim ในปี 2001 บริษัทเข้าซื้อหุ้น L&T ในสัดส่วน 10% และต่อมาในปี 2004 ได้เข้ากำกับกิจการส่วนธุรกิจ UltraTech Cement ของ L&T ซึ่งปัจจุบันนี้ Grasim ได้กลายเป็นผู้ประกอบการด้านซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดของอินเดีย
นอกจากนี้ Grasim ยังเริ่มให้การมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความสามารถในการผลิตผ้าที่ผลิตขึ้นโดยไม่ผ่านกระบวนการถักทอ ซึ่งทั้งนี้ ได้มีความพยายามในการพัฒนาผ้าที่ผลิตขึ้นโดยไม่ผ่านกระบวนการถักทอที่อาศัยไลโอเซลล์ผ่านทางกระบวนการแบบขั้นตอนเดียว นอกจากนี้ Grasim ยังมีการพัฒนาสิ่งที่แปลกใหม่ต่าง ๆ ที่มาจากต่างประเทศ อาทิ เส้นใยผสมน้ำหอม, เส้นใยกันยุง, เส้นใยป้องกันเชื้อแบคทีเรีย และเส้นใยที่ปรับอุณหภูมิได้
ในปี 2005 Grasim ยังสร้างความแข็งแกร่งในกับรากฐานทั่วโลกด้วยการเข้าซื้อกิจการ AV Nackawic Pulp Mill ประเทศแคนาดา โดยเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทอื่น ๆ และ Tembec Inc. และในปี 2006 ก็เข้าซื้อกิจการโรงงาน VSF ในประเทศจีน ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งบริษัท Birla Jingwei Fibres ต่อมา
การดำเนินงานด้านสิ่งทอมีการรวมกิจการกันเพื่อผลิตสินค้าในแบรนด์ 'Grasim' และ 'Graviera'
เข้าซื้อกิจการ AV Nackawic Pulp Mill แคนาดา
การผลิตผ้าเช็ดทำความสะอาดภายใต้ชื่อแบรนด์ Kara ซึ่งก่อตั้งที่ Kharach รัฐคุชราต
เข้าซื้อกิจการ 100% ใน Birla Jingwei
การเข้าซื้อกิจการทั่วโลกที่เป็นแก่นสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ การทดสอบการดำเนินงานที่โรงงานอันทันสมัย การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ยังยืนและการได้รับการยอมรับทั่วโลกในรูปแบบของรางวัลและการได้รับเกียรติต่าง ๆ ล้วนทำให้ช่วงทศวรรษ 2010-20 เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีนัยสำคัญที่สุดของ Grasim
ในปี 2011 Grasim ได้เข้าซื้อกิจการหลักใน Domsjö Fabriker (Domsjö) AB ประเทศสวีเดน และในปี 2012 ได้เข้าซื้อกิจการ AV Terrace Bay ประเทศแคนาดา ในปี 2013 และ 2014 มีการจัดตั้งโรงงานมาตรฐานระดับโลกที่ Vilayat รัฐคุชราต เพื่อทำการผลิตคอสติกโซดาและอีพ็อกซี
ในปี 2018 Grasim คว้ารางวัล Dun & Bradstreet Corporate สำหรับผลการดำเนินงานที่สดใสในส่วนธุรกิจสิ่งทอ อีกยังได้รับการจัดอันดับที่ 205 ในบัญชีรายชื่อ 'Global 2000 - Growth Champions 2018' ที่มีการรวบรวมโดยนิตยสาร Forbes สหรัฐอเมริกา
ยิ่งไปกว่านี้ในปี 2019 มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในสายแฟชั่นที่ยั่งยืน โดยมีการเปิดตัว Livaeco ซึ่งเป็นผ้าแบบลื่นไหลที่มีคุณภาพสูงที่ผลิตจากธรรมชาติ
เข้าซื้อกิจการหลักใน Domsjö Fabriker AB ประเทศสวีเดน
เข้าซื้อกิจการ AV Terrace Bay แคนาดา
เริ่มทดสอบการดำเนินงานโรงงานคอสติกโซดาและอีพ็อกซีที่ Vilayat รัฐคุชราต
เริ่มทดสอบการดำเนินงานโรงงาน VSF อันล้ำสมัยที่ Vilayat รัฐคุชราต
Aditya Birla Capital India Ltd (ABCIL) ควบรวมกิจการเข้ากับ Grasim และจากนั้นจึงแยกกิจการและขึ้นทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อ Aditya Birla Capital Ltd. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2017
เริ่มต้นทศวรรษด้วยการแพร่ระบาดของโควิด 19 ซึ่งทำให้โลกทั้งใบทรุดตัวลง แต่ด้วยมรดกสืบทอดในการช่วยเหลือชุมชนและการยกระดับ Grasim จึงใช้เป็นโอกาสและทำการจัดสรรทรัพยากรของบริษัทอย่างรวดเร็วเพื่อให้การช่วยเหลือชุมชนที่อยู่ในบริเวณตำแหน่งที่ตั้งของหน่วยงานการผลิต
ความพยายามของ Grasim รวมถึงการจัดหาถุงยังชีพให้กับผู้ด้อยโอกาส จัดหาการสุขาภิบาลให้กับบ้านของชาวบ้าน และเสริมความเข้มแข็งให้กับสตรีในท้องถิ่นด้วยการชักจูงให้เข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดทำหน้ากากอนามัย เป็นต้น พร้อมไปกับให้การดูแลแก่ชุมชน บริษัทยังทำให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและสุขอนามัยของบุคคลผู้ที่เคยทำงานอยู่ในหน่วยงานการผลิตอีกด้วย
แม้ว่ามีการล็อคดาวน์และการแพร่ระบาดของโรคทำให้เกิดความไม่แน่นอนก็ตาม แต่ Grasim ยังมีการเข้าซื้อกิจการและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ต่อไปเพื่อเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ในตลอด 75 ปีที่ผ่านมา Grasim เป็นผู้บุกเบิกเสมอมา โดยมีการจดทะเบียนสิทธิบัตรฉบับแรกสำหรับการพัฒนาเยื่อไม้ (วัตถุดิบสำหรับการผลิต VSF) จากไม้เนื้อแข็งแบบผสม โดยต่อมาก็มีการสร้างโรงงานเยื่อไม้เกรดเรยอนที่ใช้ไม้ไผ่แห่งแรกในโลก และยังกลายเป็นบริษัทอินเดียแห่งแรกที่มีการจัดตั้งหน่วยงานการผลิตที่อยู่นอกอาณาเขตของประเทศอินเดีย
เริ่มทดสอบการดำเนินงานโรงงานไฟเบอร์ชนิดพิเศษรุ่นที่ 3 ที่มีกำลังการผลิต 16 KTPA ที่ Kharach รัฐคุชราต ซึ่งโรงงานมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งต่อเทคโนโลยีสีเขียวที่พัฒนาขึ้นเองทั้งหมดภายในบริษัท